วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น

                                                  ศิลปะ-วัตนธรรม-ประเพณี
งานฉลองอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแล
ที่ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัด และสี่แยกอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแล ช่วงเดือนมกราคมของทุกปี มีขบวนแห่สักการะอนุสาวรีย์เจ้าพ่อ ขบวนถวายช้างแด่เจ้าพ่อ และขบวนแห่ของอำเภอต่างๆ มีการประกวดผลิตผลทางการเกษตร
งานแห่เทียนเข้าพรรษา
เป็น งานที่เทศบาลเมืองชัยภูมิจัดขึ้นทุกปี ประมาณเดือนกรกฎาคม มีการประกวดเทียนพรรษาที่ประดิษฐ์อย่างสวยงาม มีงานประเพณีอื่นๆ ที่จัดเป็นประจำทุกปี
งานบุญบั้งไฟ
หรือบุญเดือนหก จัดประมาณเดือนพฤษภาคม
งานบุญข้าวจี่
เป็นการฉลองเมื่อเสร็จสิ้นการทำนา จัดประมาณเดือนกุมภาพันธ์
งานบุญพระเวส
หรืองานบุญเดือนสี่ จัดประมาณเดือนมีนาคม มีการเทศน์มหาชาติ
                     งานประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อพระยาแล
จัดที่บริเวณศาลหนองปลาเฒ่า ระหว่างวันที่ 12-20 พฤษภาคม ของทุกปี ชาวบ้านจะไปเคารพสักการะดวงวิญญาณของเจ้าพ่อ และรำถวายเจ้าพ่อที่ศาลหลังเก่า
ประเพณีรำผีฟ้า
เป็น การรำบวงสรวงเป็นกลุ่มๆ ที่ภูพระ ซึ่งมีพระเจ้าองค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปแกะสลักหินทราย ที่ชาวบ้านเชื่อว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มาก จะมีขึ้นในระหว่างวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 5 คือเดือนเมษายน และในวันเข้าพรรษา วันออกพรรษา
งานบุญเดือนสี่
เป็นงานประเพณีของชาวอำเภอคอนสาร ในวันขึ้น 1-3 ค่ำ เดือน 5 ราวกลางเดือนมีนาคม ในงานนี้ชาวบ้านจะนิยมเล่นสะบ้า แข่งขันกันเพื่อชิงรางวัล และความสนุกสนานในบริเวณวัดเจดีย์ อำเภอคอนสาร



บุคคลสำคัญของจังหวัดชัยภูมิ


พระอริยานุวัตร ฉายา เขมจารี อายุ ๖๗ พรรษา ๔๖ นธ. เอก ปธ.๕ วัดมหาชัย ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัย
สถานเดิม ชื่อ อารีย์ นามสกุล โยธิมาตย์ เกิดวันที่ ๕ฯ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะ ปกติมาสตรงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๘๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. ตรียางค์ นวางค์ ลัคนา สถิต ราศี กันย์ ภูมิปาโลฤกษ์ บิดาชื่อ นายหัด โยธิมาตย์ มารดาชื่อ นางตู้ โยธิมาตย์ คุ้มดอนบม หมู่ที่ ๕ เลขที่ ๑๐ ตำบลหนองแสง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม



ชีวิตตอนเป็นสามเณร
          แต่ก่อนเรียนที่โรงเรียนประชาบาลตอนอายุได้ ๙ ปี ซึ่งพ่อป่วยหนักได้ตายจากไป
อายุ ๑๒ ปี เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ในต้นปีกำลังเรียนพ่อตาคือพ่อใหญ่ อายุ ๑๐๐ ปีกว่าได้ ตายจากไป แม่จึงพูดว่า ไม่มีอะไรที่จะสนองคุณพ่อใหญ่ ขอให้ลูกอารีย์บวชจูงศพพ่อใหญ่ จึงได้รับปากว่ายินดีบวชจูงศพพ่อใหญ่ ญาติๆ ทุกคนเห็นพ้องดีใจทุกคนในการบวชจูงศพ หลังจากเสร็จสิ้นจากงานศพแล้วจะลาสิกขาบทแม่และญาติๆ ไม่อยากให้ลาสิกขาบท จำเป็นต้องอดทนครอง ผ้าเหลืองของพระพุทธเจ้าไปโรงเรียน กระดาษ สมุด ดินสอ หนังสือ ไปขอเงินจากแม่ไปซื้อแม่ยินดีให้ไม่ขัดข้อง เมื่อไปโรงเรียนแจ้งครูใหญ่ให้ทราบว่าบวชแล้วเข้าห้องเรียนครูประจำชั้นเรียกชื่อ สามเณรอารีย์
เรียนคัมภีร์พุทธศาสนา
ต่อมาจึงลาออกจากโรงเรียนประชาบาลเพราะทางบ้านไม่มีเงินส่งเสีย จึงมีเวลาเรียนพระพุทธศาสนาอันมีอยู่ในใบลานซึ่งมีอยู่ตามวัด ใส่ตู้ไว้เป็นมัดๆ มีเป็น ๑๐ ตู้ในสมัยนั้น จึงได้ตั้งใจเรียน
          อักษรขอม
          อักษรธรรม (ไทยใหญ่)
          อักษรลาว (ไทยน้อย)
          อักษรกาพย์
          อักษรเจือง
          อักษรสร้อย
          เลขหางหมา คือ หางเลข
อุปสมบทเป็นพระ
          เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๘ อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโสมนัสประดิษฐ์ ตำบลหนองแสง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม คณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นคณะปูรกะ
          พระครูวาปีคณานุรักษ์ (พิน) วัดโสมนัสประดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
          พระใบฎีกาชุย วัดสุวรรณพัตร์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
          พระสมุห์เสาร์ วัดสุวรรณพัตร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
          พระสมุห์เคน วัดโสมนัสประดิษฐ์ เป็นพระโอวาทถาจารย์
จบกรรมวาจา อนุสาวนา เวลา ๑๑.๓๐ น. พอดีสมบูรณ์ตามพระวินัย
          เมื่ออุปสมบทแล้ว พระอุปัชฌาย์ตั้งชื่อฉายา เขมจารี หมายความเป็นผู้ประพฤติอันเกษม จึงไปลาญาติพี่น้องและโยมแม่ประสงค์ไปเรียนหนังสือกรุงเทพฯ ญาติพี่น้องทุกคนเห็นดีด้วย โยมแม่พูดเป็นคติธรรมพื้นบ้านว่า
          มีเงินทองเต็มภาช์
          บ่ท่อ มีผญาเต็มพุง
          เมื่อบวชเพียง ๗ วันเท่านั้น จึงไปลาหลวงปู่อุปัชฌาย์ขอไปเรียนต่อกรุงเทพฯ เมืองหลวง
วิทยฐานะ
          พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบชั้นประถมปีที่ ๓ ได้ในโรงเรียนประชาบาลประจำอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
          พ.ศ. ๒๔๗๔ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี วัดโสมนัสประดิษฐ์
          พ.ศ. ๒๔๗๖ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท วัดโสมนัสประดิษฐ์
          พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดสามพระยา พระนคร
          พ.ศ. ๒๔๗๙ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค สำนักเรียนวัดสามพระยา พระนคร
          พ.ศ. ๒๔๘๑ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคสำนักเรียนวัดสามพระยา พระนคร
          พ.ศ. ๒๔๘๓ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตร พระนคร
สำนักเรียนวัดอัมพวัน เป็นเพียงสำนักเรียนสาขาของสำนักเรียนใหญ่ เพียงเจ้าอาวาสจัดให้มีการศึกษาปริยัติธรรมขึ้นในวัดเท่านั้น ญาติโยมผู้อุปการะวัดมีน้อย แต่ท่านพระครูพิสิฐวิริยคุณ สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้ญาติโยมขึ้นมาก ทำวัตร สวดมนต์เช้า เย็น ลงปาติโมกข์ เป็นต้น กติกาของวัดวางระเบียบไว้ดี พระมหาเปรียญหลายรูปมีประโยคสูงถึง ๗ ประโยค แต่ลาสึกไปมากเหมือนกัน เป็นที่รับยกย่องจากเจ้าคณะแขวงเสมอว่า เจ้าอาวาสเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียนพระเณรในวัดดี เมื่อศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้น ท่านเจ้าอาวาสได้แต่งตั้งให้เป็นครูสอนปริยัติธรรม ตั้งแต่สอบได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค เป็นต้นมา มีครูสอนด้วย ๑๐ กว่ารูป
เจ้าสำนักวัดท่านได้ขอร้องนายพรม เปรียญ ๕ ประโยค (อดีตเจ้าอาวาสวัดเสาประโคน ธนบุรี เป็นพระญาณสมโพธิ) ลาสิกขาบทเป็นครูสอนเปรียญ ๔ ๕ ประโยค วัดอัมพวัน เมื่อเรียนเปรียญ ๔ ๕ เข้าแปลงมงคลทีปนีเปรียญ ๕ แปลตติยสาปนต์ ซึ่งนายพรมเป็นผู้สอนเวลาบ่ายทุกวันในวันพรรษา แต่เมื่อออกพรรษาแล้วไปเรียนที่วัดสามพระยาบ้าง ที่วัดมหาธาตุบ้าง เข้าสอบเปรียญ ๔ ปีแรกสอบตก ปีที่ ๒ จึงสอบได้ เหตุที่สอบตกเพราะมีภาระเป็นครูสอนจึงหาโอกาสที่จะช่วยตัวเองได้น้อย
          พ.ศ. ๒๔๘๔ เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคามขาดครูสอนปริยัติธรรมในสำนักเรียนท่านได้ขอร้องให้ คุณแม่แก้ว อัตถากร, คุณแม่ดวงคำ ธนสีลังกูร, นายอดุลย์ ภวภูตานนท์ฯ, คุณนายอุบล ภาภูตานนท์ ซึ่งเป็นลูกหลานเจ้าเมืองมหาสารคามไปอาราธนาให้ขึ้นมาอยู่ที่วัดมหาชัย จังหวัดมหาสารคาม เพื่อช่วยการคณะในจังหวัดมหาสารคาม เพื่อช่วยการคณะในจังหวัดมหาสารคาม ไม่ยอมรับนิมนต์ เพราะประสงค์จะเรียนเปรียญ ๖ เพื่อให้สอบไล่ได้ แต่ปีนี้สอบตก
          พ.ศ. ๒๔๘๕ คณะลูกหลานเจ้าเมืองดังกล่าว ได้ลงไปกรุงเทพฯ พร้อมกันไปนิมนต์อีก เป็นครั้งที่ ๒ และได้อ้างความขัดข้องเช่นเดียวกัน คือประสงค์จะเรียนให้สอบเปรียญ ๖ ให้ได้ เสียใจที่สอบตกปีแรก ในปีนี้ไม่ค่อยสบาย ป่วยกระเสาะกระแสะตลอดปี ไม่ค่อยจะได้ไปโรงเรียนจึงเป็นเหตุให้สอบตกอีก
          พ.ศ. ๒๔๘๖ คณะญาติโยมทั้ง ๔ ท่านนั้น ยังไม่วายที่จะให้ขึ้นไปอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม จึงพร้อมกันลงไปนิมนต์เป็นครั้งที่ ๓ ยังไม่ทอดอาลัยไปอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า ทั้งไปเรียนขอร้องท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวันให้ช่วยนิมนต์อีกแรงหนึ่ง โดยขอขึ้นไปช่วยกิจการคณะจังหวัดมหาสารคาม เจ้าอาวาสท่านได้พูดปรับความเข้าใจเป็นพิเศษ หลายครั้งหลายหนซึ่งพูดด้วยความเห็นใจทุกประการ แต่ยังไม่รับปากนิมนต์อะไรทั้งนั้นเพราะมุ่งการเรียน หากขึ้นไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วมีการเรียนย่อมเสียเป็นแน่ ทั้งปูนวัยพรรษายังน้อย กำลังฝักใฝ่ต่อการเรียนไม่นานวันเท่าใดนัก คณะลูกหลานเจ้าเมืองมหาสารคามลงไปนิมนต์อีก ท่านเจ้าอาวาสใช้ให้พระไปนิมนต์มาพูดกันให้เป็นที่ตกลง พอมาไหว้เจ้าอาวาสท่านขอร้องให้ขึ้นไปทำกิจพระศาสนา แม้พระเถระผู้ใหญ่หลายองค์ซึ่งประชุมนั่งอยู่นั้น พร้อมกันขอร้องเป็นเสียงเดียวกัน จึงเห็นว่าที่ได้ลงไปนิมนต์ ๓ ครั้งนี้ ผู้ประสงค์จะให้ขึ้นไปอยู่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมยังมีความอาลัย จึงตกลงรับขันนิมนต์ญาติโยม

สินค้าOTOPและสินค้าพื้นเมือง

            ประเทศ ไทย เป็นประเทศที่มีความสามารถในการทอผ้าไหมมัดหมี่ เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่ว แต่จะรู้จักทอมาตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีหลักฐานปรากฏ ศิลปะการทอ และลวดลายต่างๆ ได้รับการถ่ายทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ผู้ที่มีความชำนาญ ในการทอผ้าไหมมัดหมี่ จะนำเอาธรรมชาติรอบๆ ตัวมาใช้ได้อย่างงดงาม เช่น ลายต้นไม้ ดอกไม้ และลายสัตว์ต่างๆหรือปัจจุบันได้คิดประดิษฐ์แม้กระทั่งลายตัวอักษรขึ้นอีก ด้วย                                                                     
การ ทอผ้าไหมมัดหมี่ จะต่างไปจากการทอผ้าไหมชนิดอื่นๆ คือจะนำเอาเส้นไหมมามัด ให้เป็นลวดลายตามต้องการก่อน จึงจะนำไปย้อมสี แต่ก่อนจะนำไปย้อมสี การทอผ้าไหมทุกชนิด จะต้องผ่านกระบวนการเดียวกัน การมัดไหม ให้เป็นลวดลาย เรียกว่า มัดหมี่ มีวิธีการคือ เอาเชือก หรือฟางมามัดเส้นไหม ที่พันอยู่กับหลักหมี่ ให้เป็นลวดลายตามต้องการ แล้วนำเส้นไหมที่มัดแล้วนี้ไปย้อมสี แล้วนำมามัดแล้วย้อมอีก เพื่อให้เกิดลวดลาย และสีสันที่ต้องการบนผืนผ้า เมื่อย้อมเสร็จแก้เชือกที่มัดออก นำเส้นไหมมากรอเข้าหลอด เวลาทอก็เอาหลอดที่กรอไว้พุ่งไป ก็จะได้ลายไปในตัว เวลากรอเส้นไหมเข้าหลอด จะต้องระมัดระวังลำดับให้ถูก ไม่เช่นนั้นเมื่อทอออกมาลายที่ปรากฏ จะไม่สวยงามตามที่ตั้งใจ อาจจะเขย่งสูงบ้างต่ำบ้าง มีรอยต่อลายเห็นชัด หรือกลายเป็นลายอื่น ที่ไม่ได้ตั้งใจมัดไปเลยก็ได้ ส่วนเส้นยืนซึ่งจะเป็นความยาวของผ้านั้น เมือฟอกไหมแล้ว ก็นำไปย้อมสีตามต้องการ และนำไปทอได้เลย

แหล่งท่องเที่ยว

  • สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานแห่งชาติ ตาดโตน
  • น้ำตกตาดโตน (Tat Tone Waterfall)
    สถานที่ตั้ง : อำเภอเมือง
    เป็นหนึ่งในน้ำตกที่สูงและสวยงามที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นชั้นหินสลับทับซ้อนกันสูง 50 เมตร กว้าง 6 เมตร เกิดจากลำห้วยตาดโตนไหลผ่านลานหินแล้วตกลงสู่ที่ลุ่ม เกิดเป็นแอ่งน้ำสามารถลงเล่นน้ำได้ มีน้ำเย็นใสสะอาด บริเวณโดยรอบเป็นป่าไม้และดอกไม้นานาพรรณ มีน้ำไหลตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนเมษายน-เดือนกันยายน มีต้นน้ำมาจากป่าสงวนแห่งชาติภูโค้ง ภูหยวก และภูอีเถ้า ที่รวมกันเป็นเทือกเขาภูแลนคา แอ่งน้ำฝนค่อยๆ ไหลลงสู่ห้วยพระเจ้าและไหลรวมกันสู่น้ำตกตาดโตน การเดินทางไปยังน้ำตกใช้ทางหลวงหมายเลข 2173 ซึ่งแยกจากทางหลวงหมายเลข 217 เข้าไปประมาณ 6 กิโลเมตร
  • น้ำตกตาดฟ้า (Tat Fa Waterfall)
    สถานที่ตั้ง : อำเภอเมือง
    น้ำตก ตาดฟ้า เป็นน้ำตกที่มีความสูงมากแห่งหนึ่งในเขตอุทยานฯ ปัจจุบันยังไม่มีเส้นทางเข้าสู่ตัวน้ำตกต้องเดินทางไปตามถนนลูกรังประมาณ 1 กิโลเมตร จากนั้นจึงไปตามทางเดินในป่าอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะได้ยินเสียงน้ำตก และไม่นานก็จะถึงด้านบนของน้ำตก และต้องไต่ลงไปตามทางเดินเล็กๆ จึงจะมองเห็นความสวยงามของน้ำตกตาดฟ้าหรือเรียกชื่อพื้นเมืองว่า "น้ำตกด่าน-กอซาง" ซึ่งหมายถึงด่านตรวจของ ผกค. ที่มีกอของไม้ไผ่ซาง
  • น้ำตกผาเอียง (Pha Eiang Waterfall)
    สถานที่ตั้ง : อำเภอเมือง
    น้ำตกผาเอียง อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 32 กิโลเมตร ตามทงหลวงหมายเลข 2159 (ชัยภูมิ-หนองบัวแดง) เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีลักษณะเป็นหน้าผาเอียงตัดลำห้วย และทำให้น้ำตกเอียงเข้าทางผาด้านใดด้านหนึ่ง เป็นน้ำตกที่อยู่ด้านทิศตะวันตกของอุทยานแห่งชาติตาดโตน ที่ลำห้วยชีลอง บริเวณโดยรอบเป็นป่าแห้ง มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่หนาแหน่งให้ร่มเงาร่มรื่นเหมาะสำหรับเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อน

ประวัติเจ้าพ่อพระยาแล เมืองชัยภูมิ


พระยาภักดีชุมพล เดิมชื่อ"แล" เป็นชาวนครเวียงจันทน์ เคยรับราชการเป็นพี่เลี้ยงราชบุตรในเจ้าอนุวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้าง (ขณะนั้นเป็นประเทศราชของไทย) ในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2360 นายแลได้อพยพไพร่พลข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านน้ำขุ่นหนองอีจาน (อยู่ในเขตอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา) ต่อมาได้ย้ายไปตั้งใหม่ที่บ้านโนนน้ำอ้อม บ้านชีลอง (อยู่ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ) และได้ทำราชการส่งส่วยต่อเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงตั้งให้นายแลเป็นที่ขุนภักดีชุมพลนายกองนอก
ใน พ.ศ. 2365 ขุนภักดีชุมพลได้ย้ายชุมชนมาอยู่ที่บ้านหลวง ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านหนองหลอดกับบ้านหนองปลาเฒ่า ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิปัจจุบัน เนื่องจากสถานที่เดิมเริ่มคับแคบ ไม่พอกับจำนวนพลเมืองที่เพิ่มขึ้น
พ.ศ. 2367 ได้ที่การพบบ่อทองที่บริเวณลำห้วยชาด นอกเขตบ้านหลวง ขุนภักดีขุมพลจึงได้นำทองในบ่อนี้ไปส่วยแก่เจ้าอนุวงศ์และขอยกฐานะบ้านหลวงขึ้นเป็นเมือง เจ้าอนุวงศ์จึงประทานชื่อเมืองแก่ขุนภักดีชุมพลว่า เมืองไชยภูมิ และเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระภักดีชุมพล ทว่าต่อมาพระภักดีชุมพลได้ขอเอาเมืองไชยภูมิขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา และส่งส่วยแก่กรุงเทพมหานครแทน ไม่ขึ้นแก่เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์อีกต่อไป  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านหลวง(เมืองไชยภูมิ)เป็นเมืองชัยภูมิ และแต่งตั้งพระภักดีชุมพล (แล) เป็นพระยาภักดีชุมพล (แล) เจ้าเมืองชัยภูมิคนแรก สร้างความไม่พอใจแก่ทางฝ่ายเวียงจันทน์อย่างมาก
ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏต่อกรุงเทพเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช โดยยกทัพเข้าตีเมืองนครราชสีมา แต่เห็นว่าจะทำการต่อไปได้ไม่ตลอด จึงเผาเมืองนครราชสีมาทิ้ง และถอนทัพกลับไปตั้งรับที่เวียงจันทน์ ระหว่างทางกองทัพเจ้าอนุวงศ์เกิดความปั่นป่วนจากการลุกฮือของครัวเรือนที่กวาดต้อนไปเวียงจันทน์ ขณะพักทัพอยู่ที่ทุ่งสำริด พระยาภักดีชุมพล (แล) ได้ยกทัพไปสมทบกับคุณหญิงโมและครัวเรือนชาวเมืองนครราชสีมา ทำการตีกระหนาบกองทัพของเจ้าอนุวงศ์จนแตกพ่าย เจ้าอนุวงศ์เกิดความแค้นที่พระยาภักดีชุมพลไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายลาว ซ้ำยังยกทัพมาช่วยฝ่ายไทยตีกระหนาบทัพลาวอีกด้วย จึงย้อนกลับมาเมืองชัยภูมิ จับตัวพระยาภักดีชุมพล (แล) ประหารชีวิต ที่บริเวณใต้ต้นมะขามริมหนองปลาเฒ่าการเสียชีวิตของพระยาภักดีชุมพล (แล) ในครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชาวเมืองชัยภูมิจดจำตลอดมา และระลึกถึงว่าเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญของท่าน ต่อมาชาวเมืองชัยภูมิจึงเรียกขานท่านด้วยความเคารพว่า "เจ้าพ่อพญาแล" และได้มีการสร้างศาลไว้ตรงสถานที่ที่พระยาภักดีชุมพล (แล) ถูกประหารชีวิต ที่บ้านหนองปลาเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 (ชัยภูมิ - บ้านเขว้า) ต่อมาใน พ.ศ. 2511 ทางราชการได้สร้างศาลขึ้นใหม่ ให้ชื่อว่า "ศาลพระยาภักดีชุมพล (แล)" และจัดให้มีงานสักการะเจ้าพ่อพญาแลทุกปี โดยเริ่มจากวันพุธ แรกของเดือน 6 เป็นเวลา 7 วัน เรียกว่า "งานเทศกาลบุญเดือนหก ระลึกถึงความดีของ เจ้าพ่อพญาแล" ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของชาวชัยภูมิ และใน พ.ศ. 2518 ทางราชการร่วมกับพ่อค้าและประชาชนชาวชัยภูมิ สร้างอนุสาวรีย์ของพระยาภักดีชุมพล (แล) ประดิษฐานอยู่ตรงวงเวียนศูนย์ราชการ ปากทางเข้าสู่ตัวเมืองชัยภูมิ
ลูกหลานของพระยาภักดีชุมพล (แล) ที่ได้รับราชการเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิคนต่อๆ มา ล้วนได้รับยศและบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาภักดีชุมพลทุกคน รวมทั้งสิ้น 5 คน ส่วนเจ้าพ่อพญาแลได้เป็นพระยาภักดีชุมพลได้ 4 ปี เป็นเจ้าเมืองชัยภูมิถึง 10 ปี
ยศที่ท่านได้รับ
ท่านได้รับพระราชทานยศดังนี้
  • พระพี่เลี้ยงราชบุตร ยศนี้ได้รับจากเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์
  • ขุนภักดีชุมพล ยศนี้ได้รับจากเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์
  • พระภักดีชุมพล ยศนี้ได้รับจากเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์
  • พระยาภักดีชุมพล (แล) ได้รับจากเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์
  • พระยาภักดีชุมพล (แล)เจ้าเมืองชัยภูมิคนแรก ได้รับจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
สถานที่ระลึกถึงพระยาภักดีชุมพล (แล)
  • อนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล (แล)
  • ศาลเจ้าพ่อพระยาแล
 ผู้สืบต่อยศพระยาภักดีชุมพล
ผู้ที่ได้รับยศพระยาภักดีชุมพลต่อจากท่านนั้นมีดังนี้
  • พระยาภักดีชุมพล ( เกตุ )
  • พระยาภักดีชุมพล ( เบี้ยว )
  • พระยาภักดีชุมพล ( ที )
  • พระยาภักดีชุมพล ( บุญจันทร์ )
  • พระยาภักดีชุมพล ( แสง )
จากสมัยของพระยาภักดีชุมพล (แสง)เสียชีวิตเป็นต้นมา ยศเจ้าเมืองก็เปลี่ยนกลายเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิในปัจจุบันนี้