ชีวิตตอนเป็นสามเณร
แต่ก่อนเรียนที่โรงเรียนประชาบาลตอนอายุได้ ๙ ปี ซึ่งพ่อป่วยหนักได้ตายจากไป
อายุ ๑๒ ปี เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ในต้นปีกำลังเรียนพ่อตาคือพ่อใหญ่ อายุ ๑๐๐ ปีกว่าได้ ตายจากไป แม่จึงพูดว่า ไม่มีอะไรที่จะสนองคุณพ่อใหญ่ ขอให้ลูกอารีย์บวชจูงศพพ่อใหญ่ จึงได้รับปากว่ายินดีบวชจูงศพพ่อใหญ่ ญาติๆ ทุกคนเห็นพ้องดีใจทุกคนในการบวชจูงศพ หลังจากเสร็จสิ้นจากงานศพแล้วจะลาสิกขาบทแม่และญาติๆ ไม่อยากให้ลาสิกขาบท จำเป็นต้องอดทนครอง ผ้าเหลืองของพระพุทธเจ้าไปโรงเรียน กระดาษ สมุด ดินสอ หนังสือ ไปขอเงินจากแม่ไปซื้อแม่ยินดีให้ไม่ขัดข้อง เมื่อไปโรงเรียนแจ้งครูใหญ่ให้ทราบว่า “บวชแล้ว” เข้าห้องเรียนครูประจำชั้นเรียกชื่อ สามเณรอารีย์
เรียนคัมภีร์พุทธศาสนา
ต่อมาจึงลาออกจากโรงเรียนประชาบาลเพราะทางบ้านไม่มีเงินส่งเสีย จึงมีเวลาเรียนพระพุทธศาสนาอันมีอยู่ในใบลานซึ่งมีอยู่ตามวัด ใส่ตู้ไว้เป็นมัดๆ มีเป็น ๑๐ ตู้ในสมัยนั้น จึงได้ตั้งใจเรียน
อักษรขอม
อักษรธรรม (ไทยใหญ่)
อักษรลาว (ไทยน้อย)
อักษรกาพย์
อักษรเจือง
อักษรสร้อย
เลขหางหมา คือ หางเลข อุปสมบทเป็นพระ
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๘ อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโสมนัสประดิษฐ์ ตำบลหนองแสง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม คณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นคณะปูรกะ
พระครูวาปีคณานุรักษ์ (พิน) วัดโสมนัสประดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระใบฎีกาชุย วัดสุวรรณพัตร์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระสมุห์เสาร์ วัดสุวรรณพัตร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
พระสมุห์เคน วัดโสมนัสประดิษฐ์ เป็นพระโอวาทถาจารย์
จบกรรมวาจา – อนุสาวนา เวลา ๑๑.๓๐ น. พอดีสมบูรณ์ตามพระวินัย
เมื่ออุปสมบทแล้ว พระอุปัชฌาย์ตั้งชื่อฉายา เขมจารี หมายความเป็นผู้ประพฤติอันเกษม จึงไปลาญาติพี่น้องและโยมแม่ประสงค์ไปเรียนหนังสือกรุงเทพฯ ญาติพี่น้องทุกคนเห็นดีด้วย โยมแม่พูดเป็นคติธรรมพื้นบ้านว่า
มีเงินทองเต็มภาช์
บ่ท่อ มีผญาเต็มพุง
เมื่อบวชเพียง ๗ วันเท่านั้น จึงไปลาหลวงปู่อุปัชฌาย์ขอไปเรียนต่อกรุงเทพฯ เมืองหลวง วิทยฐานะ
พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบชั้นประถมปีที่ ๓ ได้ในโรงเรียนประชาบาลประจำอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
พ.ศ. ๒๔๗๔ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี วัดโสมนัสประดิษฐ์
พ.ศ. ๒๔๗๖ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท วัดโสมนัสประดิษฐ์
พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดสามพระยา พระนคร
พ.ศ. ๒๔๗๙ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค สำนักเรียนวัดสามพระยา พระนคร
พ.ศ. ๒๔๘๑ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคสำนักเรียนวัดสามพระยา พระนคร
พ.ศ. ๒๔๘๓ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตร พระนคร
สำนักเรียนวัดอัมพวัน เป็นเพียงสำนักเรียนสาขาของสำนักเรียนใหญ่ เพียงเจ้าอาวาสจัดให้มีการศึกษาปริยัติธรรมขึ้นในวัดเท่านั้น ญาติโยมผู้อุปการะวัดมีน้อย แต่ท่านพระครูพิสิฐวิริยคุณ สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้ญาติโยมขึ้นมาก ทำวัตร – สวดมนต์เช้า – เย็น ลงปาติโมกข์ เป็นต้น กติกาของวัดวางระเบียบไว้ดี พระมหาเปรียญหลายรูปมีประโยคสูงถึง ๗ ประโยค แต่ลาสึกไปมากเหมือนกัน เป็นที่รับยกย่องจากเจ้าคณะแขวงเสมอว่า เจ้าอาวาสเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียนพระเณรในวัดดี เมื่อศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้น ท่านเจ้าอาวาสได้แต่งตั้งให้เป็นครูสอนปริยัติธรรม ตั้งแต่สอบได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค เป็นต้นมา มีครูสอนด้วย ๑๐ กว่ารูป
เจ้าสำนักวัดท่านได้ขอร้องนายพรม เปรียญ ๕ ประโยค (อดีตเจ้าอาวาสวัดเสาประโคน ธนบุรี เป็นพระญาณสมโพธิ) ลาสิกขาบทเป็นครูสอนเปรียญ ๔ – ๕ ประโยค วัดอัมพวัน เมื่อเรียนเปรียญ ๔ – ๕ เข้าแปลงมงคลทีปนีเปรียญ ๕ แปลตติยสาปนต์ ซึ่งนายพรมเป็นผู้สอนเวลาบ่ายทุกวันในวันพรรษา แต่เมื่อออกพรรษาแล้วไปเรียนที่วัดสามพระยาบ้าง ที่วัดมหาธาตุบ้าง เข้าสอบเปรียญ ๔ ปีแรกสอบตก ปีที่ ๒ จึงสอบได้ เหตุที่สอบตกเพราะมีภาระเป็นครูสอนจึงหาโอกาสที่จะช่วยตัวเองได้น้อย
พ.ศ. ๒๔๘๔ เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคามขาดครูสอนปริยัติธรรมในสำนักเรียนท่านได้ขอร้องให้ คุณแม่แก้ว อัตถากร, คุณแม่ดวงคำ ธนสีลังกูร, นายอดุลย์ ภวภูตานนท์ฯ, คุณนายอุบล ภาภูตานนท์ ซึ่งเป็นลูกหลานเจ้าเมืองมหาสารคามไปอาราธนาให้ขึ้นมาอยู่ที่วัดมหาชัย จังหวัดมหาสารคาม เพื่อช่วยการคณะในจังหวัดมหาสารคาม เพื่อช่วยการคณะในจังหวัดมหาสารคาม ไม่ยอมรับนิมนต์ เพราะประสงค์จะเรียนเปรียญ ๖ เพื่อให้สอบไล่ได้ แต่ปีนี้สอบตก
พ.ศ. ๒๔๘๕ คณะลูกหลานเจ้าเมืองดังกล่าว ได้ลงไปกรุงเทพฯ พร้อมกันไปนิมนต์อีก เป็นครั้งที่ ๒ และได้อ้างความขัดข้องเช่นเดียวกัน คือประสงค์จะเรียนให้สอบเปรียญ ๖ ให้ได้ เสียใจที่สอบตกปีแรก ในปีนี้ไม่ค่อยสบาย ป่วยกระเสาะกระแสะตลอดปี ไม่ค่อยจะได้ไปโรงเรียนจึงเป็นเหตุให้สอบตกอีก
พ.ศ. ๒๔๘๖ คณะญาติโยมทั้ง ๔ ท่านนั้น ยังไม่วายที่จะให้ขึ้นไปอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม จึงพร้อมกันลงไปนิมนต์เป็นครั้งที่ ๓ ยังไม่ทอดอาลัยไปอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า ทั้งไปเรียนขอร้องท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวันให้ช่วยนิมนต์อีกแรงหนึ่ง โดยขอขึ้นไปช่วยกิจการคณะจังหวัดมหาสารคาม เจ้าอาวาสท่านได้พูดปรับความเข้าใจเป็นพิเศษ หลายครั้งหลายหนซึ่งพูดด้วยความเห็นใจทุกประการ แต่ยังไม่รับปากนิมนต์อะไรทั้งนั้นเพราะมุ่งการเรียน หากขึ้นไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วมีการเรียนย่อมเสียเป็นแน่ ทั้งปูนวัยพรรษายังน้อย กำลังฝักใฝ่ต่อการเรียนไม่นานวันเท่าใดนัก คณะลูกหลานเจ้าเมืองมหาสารคามลงไปนิมนต์อีก ท่านเจ้าอาวาสใช้ให้พระไปนิมนต์มาพูดกันให้เป็นที่ตกลง พอมาไหว้เจ้าอาวาสท่านขอร้องให้ขึ้นไปทำกิจพระศาสนา แม้พระเถระผู้ใหญ่หลายองค์ซึ่งประชุมนั่งอยู่นั้น พร้อมกันขอร้องเป็นเสียงเดียวกัน จึงเห็นว่าที่ได้ลงไปนิมนต์ ๓ ครั้งนี้ ผู้ประสงค์จะให้ขึ้นไปอยู่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมยังมีความอาลัย จึงตกลงรับขันนิมนต์ญาติโยม |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น